5 ‘เคล็ดลับสุดเจ๋ง’ บริหารเงินสดฉบับหมอๆ – ที่น่าจะรู้ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ!
สวัสดีครับน้องๆ ก่อนอื่นเลยขอแนะนำตัวก่อน พี่ชื่อบอส นพ.ชัยชิรัตน์ วงศ์จิรสกุล จบแพทย์มศว. ได้รับการชวนจากฟลุค (พงศ์ภวัน เศรษฐ์ธนันท์) เพื่อนเก่าที่คุ้นเคย รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมแบ่งปันเคล็ดลับน่ารู้ ประสบการณ์ ข้อมูล และมุมมองในการวางแผน/บริหารการเงินสำหรับน้องวิชาชีพแพทย์ ทันตแพทย์รวมถึงสายงานสุขภาพอื่น หลายเรื่องตัวพี่เองพึ่งได้มาเรียนรู้เมื่อได้มาทำงาน ได้จัดการบริหารทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่อนุบาลยันเรียนจบแพทย์มา ได้เรียนเรื่องการจัดการเงินไม่ถึง 20 ชั่วโมงด้วยซ้ำ ดังนั้นการพยายามศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!
Disclaimer: Blog นี้เหมาะกับแพทย์/ทันตแพทย์ที่กำลังใช้ทุนอยู่ในเขตต่างจังหวัด หรือโซนปริมณฑล
อาจไม่เหมาะกับสายที่ลาออกจากราชการไปทำงานรพ.เอกชน คนที่เริ่มทำคลินิกเต็มตัวเลย หรือคนที่เริ่มทำงานในรพ.เอกชนตั้งแต่แรก โดยใน blog นี้จะเริ่มเกี่ยวกับสิ่งที่เบสิกที่สุดแต่มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นก็คือ ‘การบริหารสภาพคล่อง!’ ซึ่งพี่ได้รวบรวม 5 เคล็ดลับสุดเจ๋ง เคล็ดลับหมัดเด็ดมาแชร์ประสบการณ์ให้น้องๆนำไปใช้และต่อยอดกันต่อไป
เขียนโดย นพ.ชัยชิรัตน์ วงศ์จิรสกุล (พี่บอส)
เรียบเรียงโดย พงศ์ภวัน เศรษฐ์ธนันท์ (พี่ฟลุค)
5 ‘เคล็ดลับสุดเจ๋ง’ บริหารเงินสดฉบับหมอๆ – ที่น่าจะรู้ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ!
1. PAY YOURSELF FIRST
“จงเก็บเงินขั้นต่ำ 10% ของรายได้ และถ้าอยากทำให้มันง่าย ทำให้มันอัตโนมัติซะ”
หลายๆครั้งพวกเรามักได้ยินคำว่า “Pay yourself first” นั่นก็คือเมื่อเงินเข้าให้รีบเปย์ตัวเองก่อนเลย โดยสิ่งแรกที่ควร ททท. หรือ ‘ทำ ทัน ที’ นั่นคือให้ เก็บเงินขั้นต่ำ 10% ของรายได้ “ทันที” ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มทำงาน ทำงานมาสักพัก หรือทำงานมานานแล้ว โดยในช่วงปีแรกของการทำงาน 10% นี้อาจจะไว้ในบัญชีเงินฉุกเฉิน (เราควรมีเงินฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน) ต่อมาพอเงินฉุกเฉินครบแล้ว ค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปไว้ในพอร์ตลงทุนเพื่อให้งอกเงยแทน ไม่ว่าจะเป็นกองทุน หุ้น หรือ พันธบัตร เป็นต้น
บางครั้งเราอาจะลืมโอนเงินเข้าบัญชีฉุกเฉินเอง หนึ่งในวิธีสร้างวินัยง่ายๆเลย คือ ‘ทำให้อัตโนมัติซะ’ ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่หลากหลายมากๆที่ตอบโจทย์เราได้ไม่ว่าจะ
1. ฝากประจำ
2. ตั้งโอนอัตโนมัติผ่าน mobile banking (เข้าบัญชีเงินฉุกเฉิน หรือ โอนไปให้พ่อแม่เก็บไว้)
2.1 แต่ละแอพธนาคารสามารถตั้งโอนเงินได้อัตโนมัติ ดังนั้นเราสามารถสร้างหลายบัญชีในแต่ละธนาคารเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกันได้ (ไม่ควรใช้แอพธนาคารเดียวเพราะถ้าล่มคือจบเห่เลย 555) เช่น บัญชี A ธ.สีน้ำเงิน สำหรับใช้จ่ายทั่วไป บัญชี B ธ.สีเขียวสำหรับเงินฉุกเฉินเป็นต้น
3. DCA (Dollar Cost Average; ตัดรายเดือน) เพื่อซื้อกองทุน หุ้น ทองคำ หรือ ETF เป็นต้น
“การลงทุนรายเดือน” หรือในภาษาการลงทุนเรียกว่า Dollar Cost Averaging (DCA) สามารถทำได้ผ่านหลากหลายวิธี และสามารถลงทุนได้ในหลากหลายสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นกองทุน หรือ หุ้น ขึ้นกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยเราสามารถตั้งค่าให้ระบบตัดเงินเข้ากองทุนตราสารหนี้/พันธบัตร/หุ้น/ETF อัตโนมัติทุกเดือน
เราสามารถตั้งค่าเพื่อให้ตัดเงินไปยังกองทุน A B C อย่างอัตโนมัติ โดยแต่ละกองทุนมีความเสี่ยงและเป้าหมายในการใช้เงินที่ต่างกัน เช่น
เป้าหมาย A คือ เงินฉุกเฉิน ดังนั้นควรไว้ในกองทุนเสี่ยงต่ำ เช่น B-TNTV
เป้าหมาย B เพื่อซื้อรถในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นเป้าหมายที่สำคัญ จึงใช้ BMAPS25 ของบลจ.บัวหลวง เป็นต้น
เป้าหมาย C สำหรับเกษียณ หากเราเป็นคนอายุน้อยและรับความเสี่ยงได้มาก อาจใช้ BMAPS100 80%, B-VIETNAM 10%, B-CHINE-EQ 10% เป็นเครื่องมือในการวางแผนหรือเป็น core portfolio ในการลงทุน ทั้งนี้การจัดพอร์ตฯการลงทุนของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยง ช่วงอายุ ความชอบ/ไม่ชอบในธีมการลงทุนบางประเภท เป็นต้น
2. 1 เป้าหมาย 1 บัญชี
“แยกเงินสำหรับแต่ละเป้าหมายออกจากกัน เช่น กิน เที่ยว ผ่อนคอนโด เพื่อไม่ให้เงินปนกันจนมั่ว”
อย่างที่พิมพ์ไว้ด้านบน แต่ละเป้าหมายของเราควรมีบัญชีของมันแยกของใครของมัน หากเราอยากถอยรถ จัดคอนโด เที่ยวต่างประเทศ หรืออะไรก็แล้วแต่ แนะนำให้ทำเช่นนี้ เพื่อที่เงินของเราจะได้ไม่ปนกันมั่ว หากเรายังมือใหม่ เราอาจจะใช้เป็น 1 บัญชีออมทรัพย์ต่อ 1 เป้าหมาย แต่เมื่อเราเก่งขึ้นและรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เราอาจจะเปลี่ยนจากบัญชีออมทรัพย์เป็นกองทุน ก็เป็นได้ โดยในปัจจุบันจะ Make by KBank ที่จัดการเรื่องนี้ให้เราเป็นอย่างดี
ข้อดีคือ ไม่ต้องเปิดหลายบัญชี
แต่ข้อเสียคือ ถ้าแอพล่ม คือ งานก็จะเข้าทันที ถอนเงินไม่ได้เป็นชั่วโมง
3. Walk your own pace
“ไม่ต้องโหมงานเพื่อมีไลฟ์สไตล์สุดหรู แต่จงค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะมันจะแลกมากับสุขภาพของคุณ”
แม้ว่าพวกเราจะเรียนจบช้ากว่าชาวบ้าน ขอเงินพ่อแม่ใช้มาตลอด 23 – 24 ปี เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เจอแต่คนอายุน้อยร้อยล้านกิน Omakase เป็นอาหารหลัก จองคอนโดหรู ถอยรถใหม่ เที่ยวยุโรป กันเต็มไปหมด พี่จะบอกว่าอย่าได้แคร์ อย่าไปกดดันตัวเองให้มากเกินไป จงโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้าให้ดี เงินที่หามาเองได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น นอกจากจะหักไว้ 10% แล้วก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองบ้าง จะกินมื้อหรูบ้าง พาครอบครัว พาแฟนไปกินของดีๆบ้างก็ทำไปเถอะ แต่อย่าไปยึดติดว่าคนอื่นจะมองเรายังไงจนต้องโหมงานรับเวรเพิ่มเพื่อที่จะใช้ชีวิตกินหรูอยู่แพงตามเพื่อนๆจนต้องแลกมากับสุขภาพของเรา จงค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยสองมือสองขาของเรานี่แหละเท่ห์ที่สุด!
4. 3 ปี แรกอย่าพึ่งรีบสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่จำเป็น
“รูดเท่าที่มี ห้ามจ่ายขั้นต่ำ และไม่ควรผ่อนเกิน 35-45% ของรายได้ขั้นต่ำ”
แพทย์เป็นอาชีพที่แปลกมากยังไม่ทันได้เริ่มทำงานมีเงินเดือน แค่วันปัจฉิมฯหรือวันจับฉลากก็มีบูธบัตรเครดิตจากหลายค่ายธนาคารมารอล่าสำเนาบัตรประชาชนพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเพื่อทำบัตรเครดิตให้เราไปใช้กันสนุกมือ จริงๆบัตรเครดิตนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม หากเราใช้เป็นเราจะได้ประโยชน์จากมันมหาศาล ไม่ว่าจะ cashback เอย ส่วนต่างๆ โปร 10.10 ก็มาาา แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือการที่เรามีบัตรเครดิตทำให้เงินออกจากกระเป๋าเราง่ายมากๆ ทำให้ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเป็นอย่างดี
*** จงใช้ยอดบัตรเครดิตได้เต็มที่เท่ากับเงินสดที่เรามี *** คือคำแนะนำที่ดีที่สุด ส่วนตัวแล้วหากพี่รูดยอดบัตรเครดิตไปเท่าไหร่ ก็จะโอนยอดจำนวนเท่านั้นเข้าอีกบัญชีออมทรัพย์นึงไว้สำหรับจ่ายบัตรเครดิตโดยเฉพาะ เพื่อรักษาระเบียบวินัยทางการเงินของตัวเองไว้และไม่รูดเกินเงินที่ตัวเองมี
ก่อนจะรูดซื้ออะไรคิดไว้ก่อนเลยถ้าเป็นของที่ซื้อเงินสดเราเดือดร้อนไหม ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ จงเหยียบเบรคให้สุดดดด
ถ้าคำตอบคือไม่ ก็รูดไปเลยจ้า
บัตรเครดิตก็มี ‘Golden Rule’ เช่นกัน
นอกจากคำภีร์ไบเบิลที่มี Ten Commandments แล้ว บัตรเครดิตก็มี Golden rule เช่นกัน คือ
ห้ามจ่าย “ช้า” หรือ “ยอดขั้นต่ำ“ โดยเด็ดขาด!!!
ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้องจ่ายขั้นต่ำเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง ต้องหยุดการใช้จ่าย หยุดการกินมื้อหรูเพื่อ check in เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตสูงถึง 18%! จะได้ไม่ตกอเวจีปอยเปตแสนล้านพบแสนล้านชาติชั่วนิจนิรันดร์เดี๋ยวนี้ค่ะ เดี๋ยวนี้ค่ะ เดี๋ยวนี้ค่ะะะะะะะ ให้กลับมาทบทวนรายรับรายจ่ายให้ดี สุดท้ายนี้ หากจะผ่อนอะไรก็ตาม ให้ผ่อนได้แค่ 2 แบบเท่านั้น คือ
1.ผ่อนบ้านผ่อนรถ เพราะเป็นการผ่อนให้เกิดสินทรัพย์ที่นับวันยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวันๆ และทรัพย์สินที่ช่วยเราหารายได้
2.ผ่อน 0% ผ่อนสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ่อนสิ่งที่อยากได้บ้าง แต่ก็ต้องตั้งสติให้ดีจะได้ไม่กลายเป็นเจ้าแม่เงินผ่อน โดยการผ่อนชำระทุกสิ่งรวมกันจะต้องไม่เกิน 35-45% ของรายได้ขั้นต่ำในแต่ละเดือน
5. บัญชีรายรับรายจ่าย เก๋าแต่ไม่เก่า
“การทำรายรับรายจ่าย ทำให้เราเห็นเทรนด์ค่าใช้จ่ายใดที่บวมขึ้นมาแต่ละเดือน จะแก้ได้ถูกจุด และแก้ได้ทัน”
ข้อดีหลักๆของการทำรายรับ-รายจ่าย คือ เราจะเห็นเทรนด์/ช่องทางของแต่ละรายรับ-รายจ่ายของเราอย่างชัดเจนมากๆ เช่น เรามีรายรับจากที่ไหนบ้าง (เงินเดือน รับเวรรพ.เอกชน คลินิก) รวมถึงรายจ่ายอะไรบ้าง (ค่ากิน ค่าเช่า ค่าช้อปปิ้ง) พอเราทำรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือนเป็นตาราง เราจะเทียบกันเดือนต่อเดือนและเราจะเห็นทันทีเลยว่าค่าใช้จ่ายส่วนไหนมัน “บวมเต่ง” ขึ้นมาในเดือนนั้น เช่น อาจมีบางเดือนที่เผลอกินมื้อแพงหรือชอปปิ้งหนักไป มันจะเห็นในตารางรายรับ-รายจ่ายเลย ดังนั้นพอสติมา ปัญญาก็เกิด จะได้รู้ว่าในเดือนถัดไปต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนไหนลงบ้าง เพื่อนำเงินส่วนต่างไปใช้ในการวางแผนภาษี หรือเป้าหมายอื่นๆต่อไป
👇 ดาวน์โหลดไฟล์ Excel จดรายรับรายจ่ายที่ปุ่มด้านล่าง 👇
หากถามตัวเองว่าเราจัดการเงินตัวเองได้ดีหรือยัง? สามารถดูได้จาก 2 อย่างหลักๆ คือ
- ทำรายรับรายจ่ายไหม? ค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนเป็นไปตามที่แพลนไหม?
- ชักหน้าถึงหลังไหมในแต่ละเดือน?
อย่างที่ทุกคนเห็นว่าการบริหารสภาพคล่องเป็นอะไรที่เบสิกที่สุดแต่ก็มองข้ามไม่ได้เลยเพราะหากเรายัง “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” นั่นเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า “สุขภาพการเงินเราจะพินาศแล้วนะ”
ซึ่งอาจส่งนำไปสู่การเป็นหนี้และกระทบการดำเนินชีวิต ชีวิตครอบครัวได้ ฯลฯ ดังนั้นเครื่องมือนึงที่จะช่วย “ตรวจสอบ” อาการผิดปกติของสุขภาพการเงินเรานั่นก็คือการทำ “รายรับ-รายจ่าย”
หากเราสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้เป็นอย่างดีแล้ว เราถึงนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุน วางแผนภาษี หรือวางแผนเก็บเงินตามเป้าหมาย/อนาคตของเราต่อไป ซึ่งสามารถอ่านได้จาก blog episode อื่นๆที่กำลังนำมาลงเร็วๆนี้ หรือทักมาคุยกันได้ผ่าน LINE OA ด้านล่งครับ 🙂
แวะมาคุยกับพี่ฟลุคได้ สบายๆ
ปรึกษาฟรี ไม่มีขายแน่นอนครับ
โทร 080-294-5216
อีเมล contact@wunlawealth.com